ความแตกต่างและความสำคัญของ DPI และ PPI ในการออกแบบกราฟิก

Last updated: 16 ต.ค. 2567  |  16 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ความแตกต่างและความสำคัญของ DPI และ PPI ในการออกแบบกราฟิก

ความแตกต่างและความสำคัญของ DPI และ PPI ในการออกแบบกราฟิก

เมื่อเราพูดถึงการออกแบบกล่องบรรจุภัณฑ์ ออกแบบกราฟิกหรือการทำงานด้านภาพดิจิทัล คำที่พบได้บ่อยในการนำมาอ้างอิงเรื่องความคมชัดคือ DPI และ PPI ซึ่งหลายครั้งถูกใช้อย่างสับสนหรือผิดพลาด ทั้งสองคำนี้ดูเหมือนจะคล้ายคลึงกันแต่ในความเป็นจริง มีความหมายและการใช้งานที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน และการเข้าใจความหมายอย่างถูกต้องจึงสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผู้ทำงานด้านนี้ เพื่อให้งานที่สร้างขึ้นมีคุณภาพและตอบสนองตามความต้องการในการใช้งาน

DPI คืออะไร

DPI ย่อมาจาก "Dots Per Inch" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยว่า "จุดต่อนิ้ว" คือการวัดจำนวนจุด (หรือ "Dots") ของหมึกที่เครื่องพิมพ์สามารถสร้างขึ้นในพื้นที่ขนาด 1 นิ้ว DPI ใช้เป็นมาตรฐานในการวัดความละเอียดของเครื่องพิมพ์และบางครั้งยังใช้กับเครื่องสแกนเนอร์ด้วย

ความสูงของค่า DPI แสดงถึงความละเอียดของการพิมพ์ ถ้าค่า DPI มีค่าสูง ภาพที่พิมพ์ออกมาจะมีรายละเอียดมากขึ้น และแสดงผลอย่างชัดเจน แต่ถ้าค่า DPI มีค่าต่ำ ภาพที่พิมพ์ออกมาจะมีรายละเอียดน้อยลง และมีโอกาสที่จะมีส่วนที่เลือนราง เรียกว่า  "Pixelation" เมื่อทำการออกแบบกราฟิกสำหรับการพิมพ์กล่อง ควรตรวจสอบความละเอียดของภาพ เช่น ควรมีความละเอียด 300 DPI หรือสูงกว่า เพื่อให้ภาพที่พิมพ์กล่องบรรจุภัณฑ์ออกมามีคุณภาพที่ดี DPI สูงจะช่วยให้ภาพที่พิมพ์มีความชัดเจนและปราศจากข้อบกพร่องของการแสดงผล

PPI คืออะไร

PPI ย่อมาจาก "Pixel Per Inch" ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยคือ "พิกเซลต่อนิ้ว" เป็นหน่วยที่ใช้วัดความละเอียดของจอภาพหรือวิดีโอที่แสดงผลบนหน้าจอของอุปกรณ์ดิจิทัล เช่น จอคอมพิวเตอร์ สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และอื่นๆ PPI บ่งบอกถึงจำนวนพิกเซลที่มีในพื้นที่ 1 ตารางนิ้ว เมื่อค่า PPI สูง จะทำให้ภาพที่แสดงผลหน้าจอมีความละเอียดสูง และรายละเอียดของภาพจะดูชัดเจนและไม่มีการเบลอ และเมื่อค่า PPI ต่ำ ภาพที่แสดงผลบนหน้าจออาจจะดูไม่ชัดเจน ค่า PPI นั้นมีความสำคัญเฉพาะกับการแสดงผลบนหน้าจอและไม่ส่งผลต่อการพิมพ์

"Pixel" เป็นคำย่อมาจาก "Picture Element" ซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานที่เล็กที่สุดของภาพดิจิทัล หรือ จอภาพ (display screen) และใช้แสดงสีและความสว่างตามที่กำหนด ในภาพที่มีความละเอียดสูงจะมีพิกเซลจำนวนมากที่รวมกันเป็นภาพ ในขณะที่ภาพที่มีความละเอียดดสูง จะมีพิกเซลจำนวนมากที่รวมกันเป็นภาพ ในขณะที่ภาพที่มีความละเอียดต่ำจะมีพิกเซลน้อยลง หากขยายภาพดิจิทัลไปเรื่อยๆ จนถึงระดับที่สูงที่สุดคุณจะเห็นรูปแบบของแต่ละพิกเซลที่ประกอบขึ้นมา พิกเซลยังเป็นหน่วยวัดพื้นฐานที่ใช้ในการกำหนดความละเอียดของภาพดิจิทัล

สรุป

DPI คือ หน่วยวัดความละเอียดของสิ่งพิมพ์จากเครื่องพิมพ์

PPI คือ หน่วยวัดความละเอียดของภาพที่แสดงผลบนหน้าจอ

การกำหนดค่าความละเอียดของภาพเพื่อส่งโรงพิมพ์กล่อง

การกำหนดค่าความละเอียดของภาพเพื่อส่งโรงพิมพ์กล่องเป็นขั้นตอนที่สำคัญ เพราะจะส่งผลต่อคุณภาพของงานพิมพ์ที่ได้รับ โรงพิมพ์จะมีข้อแนะนำเกี่ยวกับ DPI (Dots Per Inch) ที่ต้องการแต่หลักๆ คือการออกแบบกล่องสำหรับงานพิมพ์ ควรใช้ค่า DPI ที่ 300 หรือมากกว่า เพื่อให้ได้ภาพที่คมชัด

  • ใช้โปรแกรม Adobe Photoshop

เปิดภาพใน Photoshop

เลือกเมนู Image > Image Size

ในส่วนของ Resolution  ป้อนค่า 300 (หรือตามที่โรงงานแนะนำ) และเลือกหน่วยเป็น pixels/inch

จัดการขนาดภาพ (width และ height) ให้ตรงตามขนาดที่ต้องการพิมพ์

คลิก OK และบันทึกภาพในรูปแบบที่เหมาะสม (เช่น TIFF หรือ PDF) สำหรับการส่งโรงพิมพ์

  • ใช้โปรแกรม Adobe Illustrator
เปิดไฟล์ใน Adobe Illustrator

เลือก File > Document Setup

ตั้งค่า Raster Effects ในส่วนของ Resolution เป็น High (300 PPI)

บันทึกเป็นไฟล์ PDF หรือไฟล์ที่โรงพิมพ์แนะนำ

การกำหนดค่าความละเอียดภาพควรทำก่อนการเริ่มต้นออกแบบ ถ้าภาพมีความละเอียดน้อย ถ้าต้องการขยายภาพอาจทำให้ภาพเบลอหรือไม่คมชัด และอย่าลืมเปลี่ยนโหมดสีจาก RGB เป็น CMYK

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้